เรื่องที่ 1 : ป๊อก ครืด
>
>เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหา'ลัย... ในแง่ของความเศร้า
>ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง
>ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก
>ถนนยังเป็นลูกรังถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด
>ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ
>ชั้น 2 หรือ 3ของหอ
>ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่
>ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย
>อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้
>อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย
>ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้
>แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก
>ซื้อลาดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ)
>มาให้ทีละกันกินแล้วจะได้กินยาเมทคนนั้นก็บอกว่าได้เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ
>หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่ออ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว
>เพราะไข้ขึ้น จึงนอนตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลืออยู่
>แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อน
>ทำไมยังไม่กลับมาซะทีตกดึก ฝนเริ่มตก
>นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ
>ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได
>ป๊อก
ป๊อก
ป๊อก
ป๊อก
. เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา
>จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ
>เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา
>และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่
>แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป ครื
..ด
..ครื
..ด
.ค..รื
ด
>เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้
>เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ
>และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ
>ได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง
>ก๊อก ก๊อก ก๊อก แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว
>คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย
>จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ
>เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา
>หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน
>จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่
>รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได
.คิดต่างๆนา
>แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป
>รุ่งเช้า
.มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว
>นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ
>ลักษณะศพสภาพแขนและ
>ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี
>นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด(ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม)
>หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว
>โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ
>แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด
>แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว
>ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว นำห่อลาดหน้าที่ซื้อ
>มาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหัก
>หมดแล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง
>ขึ้นมา เป็นเสียง ป๊อก ป๊อก เสียง
>ครืดที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได
>มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมด
>ห่วง
.ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง
>ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
>มิตรภาพอยู่เหนือความตาย
.
>
เรื่องที่ 2 : เปรตหอนาฬิกา
>
>อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อนทำให้เรื่องเล่าเรื่องผี
>ทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่
>ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวงเวียนสี่แยกฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิตฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ
>เป็น หอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง
>เรื่องนี้มีอยู่ว่า เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต
>หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ
>ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ
>(วงเวียนจะเวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น
>ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน
>ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น
>จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ
>แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
>มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่
>ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆกันใครอยากรู้ก็ลองดู
>อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา
>มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น
>เด็กสาธิตไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ
>และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน
>เป็นเพียงเรื่องเล่า
เรื่องที่ 3 : ห้องสีชมพู
>
>เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง
>เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วไปมีอะไรกับผู้ชาย
>แล้วเกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4
>เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา
>จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่แม่
>ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง
>แฟนไม่รับผิดชอบ
>ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่
>ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ
>ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น
>เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี
>หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง)
>โดยที่เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น
>แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ
>วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย
>เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่
>รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป
>จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพู
>ไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา
>ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย
>เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้
>เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง)
>ลองไปเยี่ยมชมดูได้
>หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้
>
>เรื่องที่ 4
>ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์
>ที่เก่าๆหน่อยลองไปหาดูเอาเองลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง
>เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า
>จะอยู่ทางขวา
>รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง)ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม
>แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกเข้าห้องน้ำคน
>เดียว คนอื่นๆก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา
>ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก
>เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า
>แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างในตอนฉี่ก็
>ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจกภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก!(หันหลังให้)นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร
>แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม
>คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี
>พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน
>
>เรื่องที่ 5
>
>สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร)อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆนักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง
>ตอนกลางคืน มันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมาไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)
>วันหนึ่ง
>นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิต)ครึ้มๆขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า
>กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคนซ้อนก็นั่งไป
>เมาๆขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้)
>ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี
>เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป
>ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า ทำไม:-)ไม่
>จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร คนขับ kuไม่จอดด้วยหรอก
>คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้า:-)กะku
>ก็เจอเขาอีกแหละ...
>
>
>เรื่องที่ 6 : เรื่องพยาบาลในชุดแดงของคณะแพทย์
>
>เห็นเขาเล่าว่ามีนักศึกษาคนนึงของคณะแพทย์อยู่ทำงานในตึกของฝั่งสวนดอก(ไม่แน่ใจว่าเป็น
>โรงพยาบาลหรือตึกแพทย์คนเล่าไม่ยืนยันแต่2ตึกนี้ก็ใกล้กันนี่กลับเข้าเรื่องต่อ)
>เขาคนนี้ก็ทำงานอยู่จนดึกก็เลยว่าจะลงลิฟต์มาระหว่างที่รอ
>เขาก็ได้ยินเสียงเดินมาข้างๆเขาก็หันไปมองเห็นพยาบาลคนนึงเดินมา
>เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะพยาบาลกับแพทย์ก็ต้องเจอกันบ่อยๆอยู่แล้ว
>ระหว่างรอลิฟต์นักศึกษาคนนี้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ
>ก็เลยหันไปมองพยาบาลคนนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร
>ซ้ำพยาบาลคนนี้ยังยิ้มให้ด้วย
>สักพักต่อมาเมื่อเข้าไปในลิฟต์พยาบาลคนนี้ก็
>ถามว่ามาทำอะไรดึกๆอย่างนี้
>เขาเลยตอบว่ามาศึกษาเรื่องการผ่าตัดภายในเพราะว่าจะสอบ
>พยาบาลคนนี้เลยบอกว่างั้นให้ฉันช่วยนะนักศึกษาคนนี้ก็เลยงง
>และเริ่มสังเกตว่าคอของผู้หญิงเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากคอเรื่อยๆ
>เขาตกใจมากพยายามที่จะหนีออกมาจากลิฟต์แต่ลิฟต์เหมือนค้างหรืออะไรไม่ทราบ
>เลือดไหลนองทั่วชุดของนางพยาบาลคนนี้
>แล้วเธอก็เริ่มสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ตั้งแต่ลำไส้
>ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งควักส่วนต่างๆเหล่านี้ออกมา
>รุ่งขึ้นก็มีคนพบชายคนนี้นอนคาอยู่ทางประตูลิฟต์ที่เปิดปิดอยู่แล้วเขาก็เอาแต่
>พร่ำเพ้ออย่างคนบ้าว่า พยาบาลชุดแดง พยาบาลชุดแดง
>
>
>เรื่องที่ 7
>
>มีเรื่องเล่าว่ามีนักศึกษาหญิงในมหาลัยแห่งหนึ่งแถวรังสิตผูกคอตายในห้องน้ำของตึกเรียนตึกหนึ่งและหลายคืนแล้วที่มีคน
>ได้ยินเสียงของนศ.ญ ร้องไห้ หรือพบ
>เห็นเธอเป็นประจำ โดยเฉพาะเห็นเธอในกระจก ในห้องน้ำนั้น..
>จนกลายเป็นเรื่องเล่าของมหาลัย.. วันนึงมี นศ. ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ
>3-4กำลังจะเดินกลับหอ คนนึงในกลุ่มก็เกิดคึกอยากลอง แต่อีก 3
>คนไม่กล้า....
>คนที่หนึ่งจึงเข้าไปคนเดียวโดยที่เพื่อนๆรออยู่ข้างนอก...นศ.ชายคนนั้นก็ทำเป็นเก่งตะโกนคุยกับเพื่อนข้างนอก...
>วันนี้ร้อนว่ะเนอะ... แล้วเค้าก็เอาน้ำล้างหน้าแล้วก็เอาน้ำล้าง
>หน้าแล้วก็ดูกระจกแล้วก็แต่งผมอยู่ซักพักแล้วก็เดินออกมา.
>ดูกระจกก็ไม่เห็นมีไรเลย เรื่องเล่าก็แค่เรื่องหลอกเด็ก
>อากาศมันร้อนkuเลยล้างหน้าซะด้วยเลย.. !!!
>เฮ้ย :-) เอาน้ำที่ไหนล้างวะ
>ห้องน้ำไม่มีคนใช้เค้าเลยตัดน้ำไปนานแล้ว...ไอ้กระจกตรงอ่างก็ด้วย
>กระจกก็มีคนเคยเอาของเขวี้ยงมันแตกไปนานแล้ว.............
>
>เรื่องที่ 8
>
>อ๊าย...เรื่องลิฟท์แดงนี่เรื่องเล่าเยอะมาก
>เห็นว่าเมื่อตอนเหตุการณ์เดือนตุลาน่ะค่ะพวกทหารบุกเข้ามาในมหาวิทยาลัย
>แล้วพอลิฟท์ตัวนี้เปิดพวกมันก็กระหน่ำยิง คนในลิฟท์ซึ่ง
>เป็นอาจารย์และนักศึกษาเสียชีวิตหมด
>เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นแล้ว
>มหาวิทยาลัยกลับคืนสู่สภาพเดิม มีการบูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่
>ไม่เว้นแม้แต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทีนี้ทำยังไง
>คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ออกเหมือนจะเป็นการประจานการกระทำอันบ้าเลือดและไม่ยุติธรรม
>จึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
>แล้วก็ได้มีเรื่องเล่าตามมาว่า
>หลังจากที่ลิฟท์ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วนั้น
>ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ตามปกติ
>แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อนักศึกษาหญิงคนนึงกำลังใช้บริการลิฟท์แดงตามลำพังแต่แล้วเมื่อเธอมองไปที่กระจกกลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพังหากแต่มีผู้โดยสารลิฟท์ตัวนี้อยู่มาก
>มายแล้วยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เหล่านักศึกษาอาจารย์
>หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆได้พบเจอกับอาถรรพ์ของลิฟท์แดงตัวนี้เข้าทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่
>แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออกไปตอนนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ชั้น4มาจนถึงทุกวันนี้
>
>เรื่องที่ 9
>
>วงเวียนธรณี-ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ
>จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ
>เรื่องนี้นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา
>พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง
>ข้างตึกอังกฤษ
>เห็นคนหัวขาดยืนอยู่
>ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆบอกไม่เห็นอะไร
>มองอีกทีก็ไม่มีแล้วหันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส็นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร
>เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....
>
>เรื่องที่ 10
>
>อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน
>พอดึกๆก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก้อกน้ำข้างตึกก็ไปล้างมือที่นั่นตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้า
>ตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร
>คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึกแล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไรอีกคนบอกไม่รู้
>คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น
>มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!
>
>เรื่องที่ 11
>
>แลปฟิสิกส์ -
>อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้วเราเองก็มาไม่ทัน
>เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี1
>ก็ยังทำที่แลปเก่า(น่าจะเป็นตึกฟิสิกส์)แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง
>คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ
>เพราะทำช่วงค่ำ
>นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา
>คนอื่นๆก็มากันแล้ว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มาแต่ก้มหน้าก้มตา
>ไม่พูดไม่จาถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบเหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว
>เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น
>ผู้หญิงร้อง กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง
>ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด
>เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซครถคว่ำตาย
>เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ท
>เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต
>
>เรื่องที่ 12
>
>ทางเดินคณะวิดวะ
>มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ5ชายวันนั้นฝนตกด้วย
>มีผีผู้ชายเข้ามา
>พอถามว่าชื่ออะไรไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่ก็ตอบ
>ว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร ่เค้าก็ตอบว่าเก้า(ไปเลข9)
>คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออกแล้วรีบกลับมาที่หอมีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา
>ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า
>อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆตรงทางเดินน่ะนะ!